17.12.50

ค ริ ส ต์ มา ส

ต้นคริสต์มาส



ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

เ ร า เ อ ง อิ อิ อิ

Visual Poetry - ImageChef.com

วันปีใหม่

ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก
การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์
ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ 1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ 2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา 3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก 4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ 1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ 2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร 3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

15.9.50

ปารีส นครแห่งแสงสี

ปารีสเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่น อีกทั้งยังเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกสำหรับอีกหลายๆ คน
มงต์มาร์ตร (Montmartre), แซ็งต์-แฌร์แม็ง-เดส์-เปรส์ (Saint-Germain-des-Prés) แหล่งรวมร้านกาแฟหรู โรงหนังและแหล่งซื้อของ, เลอ มาเรส์ (Le Marais) ถิ่นแฟชั่นทันสมัย, แบลวิล (Belleville) ย่านไชน่าทาวน์, โอแบร์กองฟ์ (Oberkampf) สถานที่ย่ำราตรีย่านต่างๆ ของปารีส มีกิจกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และทำให้เมืองหลวงแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างที่เป็นอยู่
การที่แต่ละมุมของปารีสน่าเที่ยวน่าชมเป็นเพราะมีบรรยากาศที่ไม่จำเจ มีการผสมผสานอย่างลงตัว ภาพปารีสที่มีผู้คนเดินเล่น ขี่จักรยานหรือเล่นสเก็ตอย่างเสรีบนถนนเลียบแม่น้ำแซน หรือกลุ่มศิลปินที่นั่งวาดภาพบนสะพานปาสเซอแรล เดส์ ซาร์ (Passerelle des Arts) หรือภาพของอาคารบ้านเรือนแบบคลาสสิคที่มองลงมาจากศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมปอมปิดู (Pompidou) ภาพเหล่านี้แม้จะมาต่อรวมกันทั้งหมดก็ยังไม่พอที่จะอธิบายความเป็นปารีสได้ เพราะปารีสมีเอกลักษณ์ของตัวเอง

8.9.50

ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเทศกาล

งานฉลองที่มีสีสันและสนุกสนานตั้งแต่เช้ายันค่ำ จะหมุนเวียนจัดกันไปจัดตามเมืองต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส
งานเทศกาลที่จัดกันในปัจจุบันล้วนเป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต หมู่บ้านแต่ละแห่งจะต้องมีงานฉลองของตน และในแต่ละเมืองจะต้องมีเทศกาลของดีของเด่นประจำปีไว้สนุกสนานกัน เช่น งานเดินขบวนคนยักษ์ (คนต่อขา) ของทางตอนเหนือของฝรั่งเศส งานคาร์นิวัลเมืองนีซ (Nice) งาน Ferias เมืองนีมส์ (Nîmes) และเมืองอาร์ล (Arles) งานประจำปีเมืองบายอน (Bayonne) หรือเมืองเบซิเยส์ (Béziers) ฯลฯ งานเหล่านี้เป็นที่รวมความสนุกสนานของชาวเมืองซึ่งยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นให้มาร่วมความบันเทิงด้วยกัน นอกจากงานเทศกาลต่างๆ ในเขตภูมิภาคแล้ว ฝรั่งเศสยังมีงานสำคัญประจำปีระดับชาติอีก 2 งาน ซึ่งทุกเมืองจะเฉลิมฉลองพร้อมๆ กัน งานแรกคืองานวันชาติ 14 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันสำคัญที่เปิดตัวด้วยการสวนสนามของทหารเหล่าต่างๆ และจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่ถนนชองส์-เอลิเซ่ส์ (Champs-Elysées) อันเลื่องชื่อของปารีส พอถึงกลางคืนจะมีการจุดดอกไม้ไฟที่สวยงามตระการตา และมีงานเต้นรำที่สนุกสนานแบบฝรั่งเศสแท้ ส่วนตามเมืองใหญ่ๆ มักจัดการแสดงดนตรีกลางแจ้งให้ชมกันโดยไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู งานใหญ่งานที่สองคือ เทศกาลดนตรีซึ่งจัดขึ้นทุกวันที่ 21 มิถุนายน เทศกาลนี้เปิดโอกาสให้คนรักดนตรีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้แสดงความสามารถกันเต็มที่และสุดเหวี่ยงในท้องถนนและทุกหนทุกแห่ง นอกจากนี้ยังมีเทศกาลเพลงคลาสสิค ละคร ละครสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมายตลอดทั้งปี เพียงเท่านี้คุณก็คงพอรู้แล้วว่าในฝรั่งเศสความสนุกสนานเพลิดเพลินนั้นไม่มีการเว้นวรรคจริงๆ

21.8.50

Le petit déjeuner [เลอ เปอ-ติ เด-เชอ-เน] (n.m.) [le matin] : อาหารเช้า

โดยทั่วไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสจะรับประทาน tartine (n.f) คือ ขนมปังทาเนย [pain beurré] (n.m.) กับแยม [confiture] (n.f.) หรือ นํ้าผึ้ง [miel] (n.m.) สำหรับเครื่องดื่ม จะดื่ม เครื่องดื่มร้อนๆ [boisson chaude] (n.f.) เช่น กาแฟ [café] (n.m.), ชา [thé] (n.m.), นม [lait] (n.m.) หรือ ช๊อกโกแลตร้อนๆ [chocolat chaud] (n.m.) ซึ่งจะดื่มในชาม [bol] (n.m.) หรือถ้วย [tasse] (n.f.) บางคนก็จะรับประทานธัญญาพืช [céréals] (n.f. pl.), ไข่ลวก [oeuf à la coque] (n.m.) และดื่มนํ้าผลไม้สดๆ [jus de fruits] (n.m) ส่วน ครัวซอง [croissant] (n.m.) ชาวฝรั่งเศสจะไปรับประทานที่ร้านกาแฟ [bistrot] (n.m.) หรือที่บ้านในโอกาสสำคัญเช่นวันอาทิตย์


Le déjeuner [เลอ เด-เชอ-เน] (n.m.) [entre 12 h et 14 h] : อาหารกลางวัน

โดยทั่วไปแล้ว อาหารมื้อกลางวันจะประกอบไปด้วย อาหารจานแรกหรืออาหารเรียกนํ้าย่อย [entrée] (n.f.) อาหารจานหลัก [plat] (n.m.) ที่เป็นเนื้อ [viande] (n.f.) หรือ ปลา [poisson] (n.m.) เคียงกับผัก [légume] (n.m.) ตามด้วยเนยแข็ง [fromage] (n.m.) หรือ ของหวาน [dessert] (n.m.) ซึ่งอาจจะเป็นผลไม้ หรือ โยเกิร์ต [yaourt] (n.m.) ก็ได้


Le goûter [เลอ กู๊ต-เต] (n.m.) [vers 16 h] : อาหารว่าง (ระหว่างมื้อกลางวันกับมื้อคํ่า)

เป็นอาหารมื้อเล็กๆสำหรับเด็กๆหลังเลิกเรียน (เพราะชาวฝรั่งเศสเริ่มรับประทานอาหารคํ่าค่อนข้างดึก ตั้งแต่ 19.30 ถึง 20.30) อาหารว่างนี้จะคล้ายกับอาหารเช้ามาก บ่อยๆแม่บ้านมักจะเตรียมขนมปังช๊อกโกแลต [pain au chocolat] (n.m.) หรือ ขนมปังก้อนนุ่มๆ [brioche] (n.f.) หรือไม่ก็ ขนมปังทาเนยและแยม [tartine] โดยอาจจะมีเครื่องดื่มร้อนๆเช่นช๊อกโกแลตร้อนๆด้วยก็ได้


Le dîner [เลอ ดิ-เน่] (n.m.) [le soir] : อาหารคํ่า


โดยทั่วไปแล้วจะเหมือนกับอาหารมื้อกลางวัน เพียงแต่ในฤดูหนาวอาจจะมีซุปหรือซุปนํ้าข้นจากผักเพิ่มขึ้น
[soupe] (n.f.) [potage] (n.m.)

และนี่แหละ ต้นกำเนิดของพิซซ่า

ชอบกินพิซซ่ากันไหมเอ่ย
มันเป็นอาหารที่กำลังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ เนอะ
พี่ตินเห็นใครๆ ก็ชอบกิน ก็เลยคิดว่าต้องหาเรื่องของพิซซ่ามาเขียนหน่อยแล้ว
จะได้อินเทรนด์กับใครๆ เขาบ้าง แม้ว่าพี่ตินจะไม่ค่อยได้กินพิซซ่าเท่าไหร่ก็เถอะ (ก็มันแพงอะ)

สันนิษฐานว่าพิซซ่านั้น มาจาก "plakuntos" แป้งขนมที่โรยหน้าด้วยกระเทียม หัวหอม และสมุนไพรต่างๆ
ของชาวกรีก และต่อมา มันได้แพร่หลายเข้าไปในอิตาลี
ซึ่งพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแบบดั้งเดิมนั้นประกอบด้วยแผ่นขนมปัง
ที่ราดซอสมะเขือเทศ ชีส มีมะกอกและไส้กรอกเป็นท้อปปิ้ง
คำว่าพิซซ่านั้น ได้มาจากรากศัพท์ภาษาอิตาเลียน ที่แปลกว่า “a point”
ซึ่งพี่ตินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกี่ยวอะไรกับพิซซ่าเนอะ

มาฟังกันต่อ...
ว่ากันว่าพิซซ่าเนี่ย คงจะเกิดขึ้นโดยชาวกรีก โรมัน หรือชาวอะไรก็ตาม
ที่เป็นผู้คิดค้นการนำแป้งมาผสมกับน้ำ แล้วนำไปทำให้มันแข็งตัวบนก้อนหินร้อนๆ
พิซซ่าเป็นอาหารยอดนิยมของชาวอิตาเลียนในช่วงยุคหิน
แต่ก็เป็นแค่การนำแผ่นแป้งกลมๆ และนำมาแบ่งกันกิน
ส่วนหน้าของมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ฤดูกาล
ซึ่งไอเดียการทำแผ่นแป้งเป็นวงกลมเกิดมาจากชาวกรีก
ในยุคแรก คนที่ชอบกินพิซซ่ามากๆ ก็คือพวกแรงงานนั่นเอง เพราะแผ่นแป้งนี้กินแล้วอิ่มท้องดี
และสะดวก สามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ ไม่ลำบากมากนัก




ต่อมา เมื่อปี 1889 Umberto I ราชาแห่งอิตาลี และราชินีของพระองค์ เดินทางไปที่เมืองเนเปิล
และเกิดอยากจะกินพิซซ่าขึ้นมา จึงให้พ่อครัวปรุงให้
พ่อครัวได้ปรุงพิซซ่าโดยใช้สีของธงอิตาเลียน นั่นคือพิซซ่าที่มีหน้าเป็นมอซซาเรลล่า ชีส
และมะเขือเทศ บวกกับมะกอก ซึ่งราชินีทรงพอพระทัยอย่างมาก
และต่อจากนั้น สูตรนี้ก็แพร่หลายทั่วเมืองเนเปิล ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งพิซซ่า

พิซซ่าส่งตรงเข้าสู่อเมริกาเมื่อประมาณปี 1900
เมื่อเข้าสู่ชิคาโก มันก็กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
และได้มีการปรับสูตรของตัวเอง คือพิซซ่าสไตล์กะทะ ที่รูปทรงกลมมน และแผ่นแป้งหนาหนัก
กินแล้วอิ่ม ไม่เหมือนพิซซ่าแบบอิตาเลียน ที่จะบางเบา และกรอบมากกว่า

La chocolat thérapie

Les bienfaits du chocolat
Le chocolat est apprécié pour ses vertus toniques et thérapeutiques. Il contient des substances tonifiantes (caféine et sérotonine) et stimule la production d'endomorphines, substances qui engendrent la bonne humeur. D'autre part, le beurre de cacao, extrait des fèves, entre dans la composition des pommades destinées à guérir les plaies et brûlures.



La thérapie par le chocolat
Luxe, gourmandise, péché, volupté, douceur, le chocolat est plus qu'un aliment. C'est aussi une thérapie. Les indiens pensaient qu'en buvant du chocolat le matin, ils échapperaient aux dangers. En 1719, certaines espagnoles pensaient que le chocolat faisait maigrir, et s'en faisait servir en quantité industrielle. En fait, la lourdeur de la préparation leur coupait complètement l'appétit. En 1662, l'église prononça son jugement: le liquide ne rompt pas le jeûne. Le chocolat étant une boisson, ce breuvage se répandit dans les monastères, qui s'employèrent à perfectionner les méthodes pour le préparer. "Il faut préparer son chocolat la veille, pour qu'il soit onctueux, Dieu lui-même, ne pouvant être contre..." disait la mère supérieure du couvent de Belley, à Brillat Savarin. Le Vatican d'ailleurs était entièrement acquis au chocolat, et au XVIIIe siècle, les officiers du Vatican qui participaient aux cérémonies de canonisation recevaient du pape un paquet de chocolats dont le poids variait en fonction du grade. Balzac estimait que le chocolat permettait de maintenir plus longtemps les falcultés cérébrales. Goethe, fervent amateur de chocolat et grand voyageur déclarait: "quiconque a bu une tasse de chocolat résiste à une journée de voyage." Le chocolat, nourrissant et tonique, devient l'ultime déjeuner des gens de lettre.




Possédant tant de vertus revivifiantes, il n'est pas surprenant que chocolat soit le remède préféré des peines d'amour et des journées de cafard.

18.8.50

แคว้น22ของฝรั่งเศส

แคว้นทั้ง22ของฝรั่งเศส...แต่เดิมประเทศฝรั่งเศสมีชนดั้งเดิมมายึดครองอยู่คือชาว "Gaulois"พวกเขาได้เรียกประเทศฝรั่งเศสว่า LE GAULE
ILe-de-France ที่ตั้งอยู่ที่ Bassin Parisien อาหารประจำแคว้นได้แก่ เนย,สถานที่สำคัญของแคว้นได้แก่ Versailles ราชวังของพระเจ้าLouisXIV ปารีสเป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศส Centre อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Pays de Loire เป็นเมืองหลวงประจำแคว้นผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ พืช,ผักสวนครัว,องุ่น,ข้าวโพด Pays de Loire แคว้นนี้มีชายแดนทางตะวันตกติดกับแคว้น Bretagne ทิศตะวันออกติดกับแคว้น Centre ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับที่ราบสูง มีเมืองหลวงชื่อว่า Nantes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ไร่องุ่น ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญคือเหล้าองุ่นขาว แคว้นนี้มีปราสาทสวยงามมากมายที่สุดในฝรั่งเศส Bretagne เป็นแคว้นที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นแคว้นเดียวในฝรั่งเศสที่ไม่มีการผลิตเหล้าองุ่น เนื่องจากสภาพอากาศไม่เหมาะสมที่จะปลูกองุ่น แต่มีการประมงเป็นหลักเพราะติดทะเล เมืองหลวงของแคว้นมีชื่อว่า Rennes ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ พืชไร่ที่เราเรียกว่า le cidre ขนมที่ขึ้นชื่อคือ Crepes เมืองท่าที่สำคัญมีชื่อว่า Brest ส่วน Saint-Malo เป็นเมืองเก่าแก่ของแคว้น La Basse-Normandieเป็นแคว้นที่มีชายฝั่งทะเลตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค ชายฝั่งทางเหนือติดกับอ่าว Manche ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับแคว้น Bretagne และทางทิศตะวันออกติดกับแคว้น Haute-Normandie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Caen ผลผลิตที่สำคัญคือ ข้าวสาลี,นม,การประมง สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อ Le Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์โบราณเก่าแก่สถาปัตแบบโรมัน สร้างอยู่บนโขดหินใกล้ทะเล La Haute-Normandie มีเขตติดต่อกับแคว้น Basse-Normandie มีการผลิตเนยชั้นนำคุณภาพ และนำแอปเปิ้ลที่มีคุณภาพรสชาติอร่อย เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Rouen Picardie เป็นแคว้นที่ค่อนไปทางเหนือของฝรั่งเศส มีเมือง Amiens เป็นเมืองหลวง ผลผลิตสำคัญคือ ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์,การปลูกหัวผักกาดหวาน Nord-Pas de Calais แคว้นนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของประเทศฝรั่งเศส มีเมือง Lille เป็นเมืองหลวงประจำแคว้น เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่มีรถไฟใต้ดินวิ่งป็นเมืองแรกในฝรั่งเศส แคว้นนี้ผลิตเบียร์อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากภูมิประเทศเหมาะกับการปลูกข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์ Le Champagne แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Picardie เมืองหลวงประจำแคว้นชื่อ Chalons-sur-Marne ผลผลิตสำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลี,การเลี้ยงสัตว์ สถานที่สำคัญประจำแคว้นนี้คือ" โบสถ์เมือง Reims "ที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมGothique Lorraine ที่ตั้งของแคว้นนี้อยู่ทางชายแดนประเทศเบลเยี่ยม,ประเทศลักเซมเบอร์กและประเทศเยอรมัน เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Nancy ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,ข้าวสาลีและการเลี้ยงสัตว์ Alsace เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Lorraine มีเมืองหลวงชื่อ Strasbourg ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ ข้างสาลี,องุ่น,ข้าวโพด,ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงประจำแคว้นได้แก่ เหล้าองุ่นขาวคุฌภาพเยี่ยม Franche-Comte แคว้นนี้ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Bourgogne และประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองหลวงชื่อว่า Besacon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ขนมปัง,เครื่องเทศ นาฬิกาชั้นนำมักจะผลิตที่นี้เป็นสินค้าส่งออก อาหารดังประจำแคว้นเนื่องจากว่าแคว้นนี้ผลิตเบียร์ได้มากจึงมีเบียร์คุณภาพ,เนยคุณภาพดี La Bourgogne ตั้งอยู่ทางใต้ของแคว้น Champagne, อยู่ทางตะวันออกของ Pays de Loire ทางทิศตะวันตกของ Franche-Comte และทิศเหนือของแคว้น Rhone-Alpes เมืองหลวงชื่อ Dijon ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,นม,เหล้าองุ่น อาหารดังประจำแคว้นมีชื่อว่า ไก่อบเหล้า,หอยทากอบ เหล้าองุ่นและเหล้าชนิดอื่นก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกันสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังของดยุ๊ก Rhone-Alpes ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Bourgogne และ Franche-comte เมืองหลวงมีชื่อว่า Lyon ผลผลิตที่สำคัญได้แก่ องุ่น,การเลี้ยงสัตว์,ข้าวสาลี,ข้าวโพด L'Auvergne เป็นแคว้นที่มีภูเขาไฟ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของแคว้น Limousin ทางทิศใต้ของแคว้น Bourgogne เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Clermont-Ferrand ผลผลิตสำคัญได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวบาร์เลย์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ โบสถ์ Notre-Dame Limousin เป็นแคว้นที่มีการเลี้ยงแกะ ทางทิศตะวันตกของแคว้นเป็นที่ราบสูงกว้างใหญ่ ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เมืองหลวงชื่อ Limoges ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ประเภทวัว แพะ แกะ สินค้าประจำแคว้นได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา,เครื่องเคลือบลายคราม Poitou-Charentes แคว้นนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น Limousin อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น Centre เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Poitiers สินค้าประจำแคว้นได้แก่ ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์,องุ่น,เหล้า Aquitaine เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่มีชายฝั่งออกติดกับแนวมหาสมุทรแอตแลนติค เมืองหลวงชื่อ Bordeaux สินค้าของแคว้นคือ องุ่น,ยาสูบ,ข้าวสาลี,ข้าวโพด,การเลี้ยงสัตว์ และผลิตเหล้าคุณภาพดีมีลูกพรุนรสชาติดีนิยมกันมาก Midi-Pyrenees ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น Aquitain และอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น Auverne เมืองหลวงชื่อ Toulouse ซึ่งแคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองที่มีการผลิตเครื่องบิน ผลผลิตที่สำคัญของแคว้นได้แก่ เนย,เนยแข็ง Lanquedoc-Roussillon เป็นแคว้นที่มีชายแดนติดต่อกับแคว้น Provence ทางตอนใต้ติดกับทะเลสาป เมืองหลวงชื่อ Montpellier ผลผลิตสำคัญประจำแคว้นคือ องุ่น,เหล้าไวน์ ,พืชผักสวนครัว,เหล้า สถานที่สำคัญได้แก่ Site เป็นเมืองท่าสำคัญ,เมือง Agen เป็นเมืองตากอากาศ Provence-Cote d'Azur ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและชายแดนติดกัยอิตาลี เมืองหลวงของแคว้นชื่อ Marseille ผลผลิตที่สำคัญคือการปลูกดอก lavande ,การปลูกไร่องุ่น,การเพาะปลูกพืชผักสวนครัว Corse แคว้นนี้ลักษณะเป็นเกาะอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของเมืองนีช เมืองหลวงชื่อ Ajaccio ผลผลิตสำคัญได้แก่ ลูกเกาลัด,องุ่น,ผลไม้,ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร,เนยแข็งจากนมแกะ,เหล้าองุ่นแดงและชมพู ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเด่นของแคว้นCorse

Lexique de l'actualité sur RFI [คำศัพท์จากข่าวฝรั่งเศส]

1.diplomate (n.) : นักการทูต]
2.dirigeant (n.m.) : ผู้นำประเทศ
3.dénoncer (v.) : ประณาม, กล่าวโทษ
4.déarmement (n.m.) : การปลดอาวุธ, การวางอาวุธ
5.décret (n.m.) : คำประกาศ, คำสั่ง
6 .délégation (n.f.) : คณะผู้แทน (เจรจา...)
7.déclencher (v.) : ทำให้คลาย, ลั่นไก, เริ่ม(รุกรบ)
8.déroulement (n.m.) : การดำเนินไปของ(เหตุการณ์ ...) / se dérouler = (เหตุการณ์) ดำเนินไป, คลี่คลาย
9.mandat (n.m.) : วาระที่อยู่ในตำแหน่ง / mandat d'arrêt = หมายจับ
10. mesure (n.f.) : มาตรการ / prendre une mesure = ใช้มาตรการ
11. milicien (n.m.) : ทหารอาสาสมัคร
12.meeting (n.m.) : การประชุม
13.mobilisation (n.f.) : การชุมนุมเคลื่อนไหวเรียกร้อง หรือรณรงค์ / (se) mobiliser (v.) = รวมตัวเคลื่อนไหว
14. maison mère (n.f.) : บริษัทแม่, สำนักงานใหญ่ = siège social
Les temps de l' indicatif
Le passé récent & Le passé composé
Le passé récent
การใช้ : Le passé récent ใช้บอกเล่าหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไป
- Le train vient d' entrer en gare. Les passagers en descendent. (รถไฟเพิ่งเข้าสู่สถานี ผู้โดยสารกำลังลงจากรถไฟ)
- Vous voulez un café ? (คุณต้องการกาแฟสักถ้วยไหม)
+ Non, merci. je viens d' en prendre. (ไม่หรอกครับ ขอบคุณ ผมเพิ่งจะดื่มมา)
รูปแบบ : Le passé récent สร้างโดยใช้ verbe "venir de" ในรูป présent + infinitif :
Je viens de déjeuner.
Tu viens de rentrer ?
Il / Elle vient de sortir.
Nous venons de commencer.
Vous venez d' écouter France-Inter.
Ils / Elles viennent d' entrer en classe.
Le passé composé
การใช้ :
1. บอกเล่าหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงไปเรียบร้อยแล้ว
- Je suis née le 20 mars 1987. (ดิฉันเกิดวันที่ 20 มีนาคม 2530)
- L' année dernière, j' ai acheté une nouvelle voiture. (เมื่อปีที่แล้วฉันซื้อรถใหม่คันหนึ่ง)
- Est-ce que tu lui as téléphoné ? (เธอโทรศัพท์ถึงเขาแล้วหรือยัง)
2. บอกเล่าหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลมาถึงปัจจุบัน
- Elle n'a plus d'argent; elle a tout dépensé. (หล่อนไม่มีเงินเหลืออีก หล่อนใช้มันไปหมดแล้ว)
- Elle est tombée. Elle a mal aux genoux. (หล่อนหกล้ม หล่อนเจ็บหัวเข่า)
3. ใช้ตามหลัง "si" ในประโยคที่บอก เงื่อนไข หรือ สมมุติฐาน
- Si tu as fini tes devoirs, tu pourras regarder la télévision. (ถ้าเธอทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ดูโทรทัศน์ได้)
- Si vous ne vous êtes pas encore inscrit(e), dépêchez-vous de le faire. (หากคุณยังไม่ไดสมัคร ก็ต้องรีบเร็วเข้า)
รูปแบบ : เราใช้กริยาช่วย (auxiliaire) "avoir" หรือ "être" ในรูป présent + participe passé
"avoir" ใช้กับ verbe ส่วนใหญ่ :
J' ai bien mangé. [inf. = manger]
Tu as fini ton travail ? [inf. = finir]
Il a eu un accident. [inf. = avoir]
Elle a été malade. [inf. = être]
Nous avons dîné dans un bon restaurant. [inf. =dîner]
Vous avez appris l' anglais ? [inf. = apprendre]
Ils ont fait beaucoup de photos. [inf. = faire]
Elles ont mis leur plus belle robe. [inf. = mettre]
ในประโยคปฎิเสธ " ne ............. pas " ครอบกริยาช่วย "avoir"
- Je n' ai pas trouvé sa maison.
- Tu n' as pas fini ?
participe passé ของกริยาแท้ไม่ทำ accord (ไม่เปลี่ยนรูป) ให้สัมพันธ์กับเพศและพจน์ของประธานเมื่อใช้กับ verbe "avoir"
"être" :
1. ใช้กับ verbes ต่อไปนี้ :
aller[allé] - venir[venu] - revenir[revenu] - arriver[arrivé] - partir[parti] - passer[passé]
entrer[entré] - rentrer[rentré] - sortir[sorti] - tomber[tombé] - rester[resté] - retourner[retourné]
monter[monté] - descendre[descendu] - naître[né] - mourir[mort]
- Je suis allé(e) au cinéma hier soir.
- Tu es allé(e) au cinéma hier soir ?
- Il est allé au cinéma hier soir.
- Elle est allée au cinéma hier soir.
- Nous sommes allés(es) au cinéma hier soir.
- Vous êtes allé(e)(es)(s) au cinéma hier soir ?
- Ils sont allés au cinéma hier soir.
- Elles sont allées au cinéma hier soir.
participe passé ของกริยาแท้ต้องทำ accord (เปลี่ยนรูป) ให้สัมพันธ์กับเพศและพจน์ของประธาน
(เติม e สำหรับเพศหญิง - เติม s สำหรับพหูพจน์เพศชาย - เติม es สำหรับพหูพจน์เพศหญิง) เมื่อใช้กับ verbe "être"
สำหรับ verbe : monter, descendre, entrer(rentrer), sortir, passer, retourner : เมื่อตามด้วยกรรมตรง
(complément d' objet direct) ต้องใช้ verbe "avoir" ช่วยในการทำเป็น passé composé
- Elle est passée chez moi hier. (หล่อนแวะมาบ้านฉันเมื่อวาน)
- Elle a passé de bonnes vacances au bord de la mer. (หล่อนใช้เวลาช่วงวันหยุดอย่างมีความสุขที่ชายทะเล)
ในประโยคปฎิเสธ " ne ............. pas " ครอบกริยาช่วย "être"
- Je ne suis pas sorti hier.
- Il n' est pas venu en classe hier.
2. Verbe pronominal ทุกตัว ใช้กับ verbe "être" เมื่อเป็น passé composé
Je me suis lavé.
Tu t' es amusé ?
Il s' est réveillé ?
Elle s' est promenée.
Nous nous sommes disputés.
Vous vous êtes fâchés avec vos copains ?
Ils se sont intéressés à la peinture.
Elles se sont rencontrées dans une fête.
ในประโยคปฎิเสธ " ne ............. pas " ครอบทั้ง สรรพนาม และ กริยาช่วย "être"
- Je ne me suis pas amusé à la fête d' hier soir.
- Elle ne s' est pas fâchée contre toi !
participe passé ของกริยารูป pronominal ต้องทำ accord (เปลี่ยนรูป) ให้สัมพันธ์กับเพศและพจน์ของประธาน
(เติม e สำหรับเพศหญิง - เติม s สำหรับพหูพจน์เพศชาย - เติม es สำหรับพหูพจน์เพศหญิง) เมื่อใช้กับ verbe "être"
ยกเว้นเมื่อมีกรรมตรงตามมา หรือโครงสร้างของกริยา pronominal เป็น กรรมรอง
- Sabine s' est lavée. (ทำ accord) [ซาบิ้นอาบนํ้า]
- Sabine s' est lavé les cheveux. (ไม่ทำ accord เพราะมีกรรมตรง "les cheveux" ตามมา) [ซาบิ้นสระผม]
- Sabine et sa copine se sont téléphoné pendant 2 heures ! [ซาบิ้นกับเพื่อนโทรศัพท์ถึงกันเป็นเวลาตั้ง
2 ชั่วโมง]
(ไม่ทำ accord เพราะโครงสร้างของกริยา pronominal เป็น กรรมรอง : Sabine téléphone à sa copine และ
Sa copine téléphone à Sabine)

30.6.50

พันธุ์องุ่นที่ปลูกในฝรั่งเศส


องุ่นแดง


*CABERNET SAUVIGNON (คาเบอร์เนย์ โซวินญอง)พันธุ์องุ่นชนิดนี้นิยมปลูกเป็นหลักในเขตบอร์กโด และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส และจะพบบ้างในเขตลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Loire), โพรวองซ์ (Provence) และลองเกอด๊อค (Longuedoc) ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์นี้ จะมีสีเข้ม รสฝาด และมีกลิ่นหอมคล้ายกับพริกไทยสด ปนกับกลิ่นดินไวน์เหมะที่จะเก็บ และบ่มได้ดี

*MERLOT (แมร์โล)พันธุ์องุ่นชองเขตบอร์กโดโดยเฉพาะ แต่ก็นิยมปลูกบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสด้วย ไวน์จากพันธุ์องุ่นนี้จะมีอง๕ประกอบเข้มข้นมาก รสนุ่มนวล นำไปเก็บบ่มได้ คุณภาพดีในระยะเวลาสั้นกว่าไวน์จากพันธุ์องุ่น Cabernet พันธุ์องุ่นนี้มีอิทธิพลมากในเขต Saint-Emilion และบางส่วนของเขต Pomerol

*PINOT NOIR (ปิโนว์ นัว)พันธุ์องุ่นหลักสำหรับผลิตไวน์แดงของเขตเบอร์กันดี ไวน์ที่แพงที่สุดในโลก คือ Romanee Conti ทำจากองุ่นพันธุ์ Pinot Noir 100% ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์นี้ หากเป็นไวน์ใหม่ๆ จะให้ความรู้สึกและกลิ่นหอมนุ่มนวลจากผลไม้ในหน้าร้อน หากเป็นไวน์ที่ได้รับการเก็บและบ่มในขวดหลายๆปี ก็จะพัฒนากลิ่นและรสชาติให้ดียิ่งขึ้น โดยทั่วไปมีปลูกในเขตอื่นด้วยเช่น เขต Alsace, Jura, Bugey เป็นต้น พันธุ์องุ่นนี้หากผลิตเป็นไวน์ขาวจะมีบทบาทสำคัญในการผสมทำ แชมเปญ

*SYRAH (ซีร่า)พันธุ์องุ่นหนิดเดียวที่ปลูกทางตอนเหนือของเขต Cotes du Rhone และขยายการปลูกไปฝั่ง Vaueluse, Provence, Languedoc Roussillon ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นนี้จะมีกลิ่น รสแรง, สีเข้ม และรู้สึกว่ามีกลิ่นเหมือนกับดอกไวโอเล็ต หากเก็บไว้นานมมากขึ้นจะมีกลิ่นคล้ายพริกไทย และกลิ่นหนังสัตว์

*GAMAY (กาเม)พันธุ์องุ่นหนิดเดียวที่ปลูกทนเขต Beaujolais และนิยมปลูกในเขตอื่น คือ Anjou, Touraine, Savoie, Auvergne เป็นต้น ไวน์แดงที่ได้ จะมีรสอ่อนๆกลิ่นหอมของผลไม้ นิยมดื่มหลังจากบรรจุขวดใหม่ๆ


องุ่นขาว





*CHARDONNAY (ชาร์ดอนเนย์)พันธุ์องุ่นชนิดนี้นิยมนำมาผลิตไวน์ขาวที่มีคุณภาพสูงของแคว้นเบอร์กันดี แต่ก็นิยมปลูกในแคว้นแชมเปญ และปลูกมากในเขต Cote des Blancs (แชมเปญ ที่ชื่อว่า Blanc de Blancs จะผลิตจากพันธุ์องุ่น Chardonnay 100%) นอกจากนี้ยังพบได้จากเขตอื่นที่นิยมปลูกองุ่นพันธุ์นี้คือ Jura และ Loire Valley ผลผลิตเป็นไวน์จะมีองค์ประกอบมากรสชาด ดี กลิ่นหอมของผลไม้แห้ง และสามารถเก็ยบ่มได้หลายๆปี ขึ้นอยู่กับแต่ละถิ่นกำเนิดของไวน์นั้นๆ

*SAUVIGNON (โซวินญอง)พันธุ์องุ่นมีกลิ่นหอมมาก นิยมปลูกเป็นหลักในเขตบอร์กโด แถบตะวันตกเฉียงใต้และลุ่มแม่น้ำลัวร์ เป็นองุ่นชนิดเดียวที่ใช้ผลิตไวน์ขาวของเขต Sancerre และไวน์จากแถบตะวันออกลุ่มแม่น้ำลัวร์ หากผสมกับไวน์ที่ผลิตจากองุ่น Semilion จะทำให้เป็นไวน์ขาวรสหวาน เช่น Sautemes และ Monbazillac

*MUSCADET (มุสกาเด)เรียกได้อีกอย่างหนึ่ง คือ Melon de Bourgogne เป็นพันธุ์องุ่นชนิดเดียวที่ผลิตไวน์ขาว muscadet ระดับชั้นคุณภาพ AOC มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งผลิตในเขตลุ่มแม่น้ำลัวร์

*GEWURZTRAMINER (เกวูซทรามิเนอร์)พันธุ์องุ่นของเขต Alsace ซึ่งปลูกมากถึง 20% ขององุ่นที่ปลูกในเขตนี้ ผลผลิตเป็นไวนืที่ดี ให้กลิ่นเข้มข้นและกลิ่นดี หากเป็นไวน์ที่ผลิตในปีที่ดี (Great Year) จะมีรสหวาน และรสกล่มกล่อม มีรสหวานเจือปนเล็กน้อย

*CHENIN BLANC (เชนิน บลัง)พันธุ์องุ่นของเขตแม่น้ำลัวร์(Loire Valley) ซึ่งชนพื้นเมืองยังคงเรียกว่า Pineau de La Loire ผลผลิตเป็นไวน์ขาวหรือ Sparkling Wineจะมีรสหวานน้อย (Dry White Wine, Sparkling Wine) สปาร์คกลิ้งไวน์ ที่ผลิตจากองุ่นนี้ เช่น Gremant de Loire, Saumur, Vouvray mousseux นอกจากนี้ยังนิยมผลิตเป็นไวน์ หวานปานกลาง (Medium Sweet)หรือ ไวน์รสหวาน (Sweet Wine) เช่น Coteaux de Layon ไวน์ที่ผลิตจากองุ่นพันธุ์นี้มีข้อน่าสังเกตคือ มรกรดมาก (Acidity) และสามารถเก็บบ่มได้ดี


*RIESLING (รีสลิ่ง)พันธุ์องุ่นเก่าแก่ที่สุดของแคว้นอัวซาส (Alsace) ปลูกถึง 20% ขององุ่นที่นิยมปลูกในเขตนี้ ผลผลิตเป็นไวน์ขาว ที่มีกลิ่นหอมของผลไม้ มีรสหวานเล็กน้อยซึ่งเป็นลักษณะพิเศษขององุ่นพันธุ์นี้

21.6.50

นุช-แพรวเพื่อนร๊าก

คิดถึงแพรวเพื่อนรักคนนี้มากนะรู้ป่าว เราคบกานมานานแล้วเราก้อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกานเสมอมา เราจำได้ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่3-6 เราก้ออยู่ด้วยกานมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร เราก้อจะนึกถึงกาน เราคบกานมานานตั้ง 9 ปี เรารู้ว่าเพื่อนคนนี้มีความสำคัญกะเราแค่ไหน เราจำวันเกิดแพรวได้เหมือนกาน และแพรวก้อจำวันเกิดเราได้เช่นกาน เราจำได้วันเกิดแพรวเราพาแพรวไปเลี้ยงไอศครีมที่บิ๊กซี แล้วก้อเลี้ยงหนังแต่จำมะได้ว่าเรื่องรัย แต่สุดท้ายก้อมะได้ดู พอดีว่าแม่แพรวโทรมาตามก้อเลยต้องกลับบ้าน แต่เราก้อยังมะกลับกาน เราก้เดินไปซื้อของขวัญให้แพรว เราก้อให้แพรวเลือกเลย แพรวเลือกนาฬิกาคิตตี้มีเพชรเต็มเลย แต่มานก้อน่ารักสำหรับแพรวและก้อเรานะ และเราก้อกลับบ้านกาน เราก้อไปส่งแพรวถึงบ้าน แต่วันนั้นเรามะได้นัดกานใส่เสื้อสีเหลืองเลยมานบังเอิญมากก่าเนอะ แต่เราจะรักเพื่อนคนนี้ตลอดไปนะ คิดถึงเพื่อนรักคนนี้มาก

10.6.50

Un dessert facile qui en jette : panacotta !


Un dessert facile qui en jette : panacotta !


Bon, ça y est, j'ai retrouvé mon ordi, mon blog, ma motivation : tout va bien. Tout va même très bien puisque je vais bientôt avoir la joie d'emballer toutes mes petites affaires dans des cartons direction... ma nouvelle maison ! Ou plutôt "notre" nouvelle maison. Eh oui, malgré notre jeune âge, moi et le gourmand, pour qui j'ai plaisir à cuisiner chaque jour, avons acheter une petite maison dans les environs de Toulouse. Nous allons donc quitter notre (trop) petit appartement pour plus d'espace et surtout... surtout ! ... un jardin dans lequel nous allons pouvoir cultiver tomates cerise, framboises et herbes aromatiques : le bonheur !


Vous pouvez donc vous douter qu'en ce moment ce déménagement pompe toute mon énergie entre les démarches administratives, les cartons à préparer... Je suis moins présente dans ma cuisine mais je cuisine tout de même. Pas plus tard qu'aujourd'hui, entre deux remplissages de carton, je réfléchis au dîner, que dis-je, je me préoccupe de ce que je vais bien pouvoir préparer à manger sachant qu'en ce moment mes placards ne regorgent pas d'ingrédients bien excitants pour la cuisinière que je suis. Et puis l'idée d'un dessert hyper facile et rapide à préparer me vint à l'esprit : la panacotta ! Mais oui, mais c'est bien sûr, un dessert raffiné avec trois fois rien comme ingrédients. Quelques fraises qui passaient par là sont venues agrémenter ces petites crèmes et voila comment requinquer deux gourmands qui ont mal aux bras, aux jambes bref épuisés... épuisés mais heureux :-)




Panacotta à l'eau de fleur d'oranger et fraise



Ingrédients :


pour 4 verrines


- 15 cl de lait


- 15 cl de crème liquide


- 4 càs de sucre


- 1,5 càs d'eau de fleur d'oranger


- 2 feuilles de gélatine


- 4 fraises


La recette :


- porter le lait et la crème à ébullition, ajouter le sucre et l'eau de fleur d'oranger, mélanger, retirer du feu


- pendant ce temps, ramollir les feuilles de gélatine dans un bol d'eau froide


- essorer les feuilles de gélatine, les ajouter au mélange lait-crème


- bien mélanger afin que la gélatine se dissolve


- verser dans les verrines


- laisser reposer 30 minutes à température ambiante puis entreposer au frigo pendant 2 heures


- au moment de servir, décorer avec des fraises et des feuilles de menthe


2.6.50

Le boulevard Barbès métamorphosé !

Le boulevard Barbès métamorphosé !








Hier peu confortable, bruyant et pollué, le boulevard Barbès est aujourd’hui un Espace Civilisé, à l'image des boulevards Clichy et Rochechouart, Magenta et Jaurès. Ce nouvel aménagement a permis une redistribution de l’espace public au profit des transports en commun et des circulations douces, ainsi qu'une revalorisation du cadre de vie...











Peu confortable, très bruyant et pollué, le boulevard Barbès a été transformé en Espace Civilisé.Caractérisé par une redistribution de l’espace public au profit des transports en commun, des circulations douces (piétons, vélos, rollers) et par une revalorisation du cadre de vie, ce nouvel aménagement contribue également au dynamisme commercial du quartier.